1.ตาแห้งจากการที่ต่อมผลิตน้ำตาทำงานผิดปกติ คือผลิตได้ไม่เพียงพอ หรือเพียงพอแต่คุณภาพน้ำตาไม่สมบูรณ์
ภาวะนี้เกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุเช่น ต่อมผลิตน้ำตาเกิดการอักเสบเฉียบพลันจากการติดเชื้อแบคทีเรียหรือไวรัส ฮอร์โมนร่างกายไม่สมดุลจากวัยที่สูงขึ้นหรือตั้งครรภ์ โรคทางกายบางโรคเช่นไทรอยด์ รูมาตอยด์ รวมถึงการใช้ยาบางชนิดเช่นยาต้านซึมเศร้า ยาคุมกำเนิด ยาแก้แพ้ เป็นต้น
2.ตาแห้งจากการระเหยของน้ำตาที่เร็วกว่าปกติ
ภาวะนี้ส่วนใหญ่เกิดขึ้นจากต่อมไขมันบริเวณเปลือกตาอักเสบหรืออุดตัน มักเกิดจากการใช้เครื่องสำอางบริเวณดวงตา การใช้คอนแทคเลนส์รายเดือนเป็นระยะเวลานานแล้วมีสิ่งสกปรกสะสมมาอุดตันต่อม ทำให้ไม่สามารถสร้างชั้นฟิล์มมาเคลือบป้องกันการระเหยของน้ำตาได้เพียงพอ รวมถึงพฤติกรรมและสภาพอากาศรอบตัวเช่น กระพริบตาน้อยลงเวลาจ้องคอม มือถือ อ่านหนังสือ หรืออยู่ในที่ที่อุณหภูมิต่ำ ปัจจัยเหล่านี้ก็ทำให้น้ำตาระเหยไวขึ้นได้เช่นกัน โดยอาการแสดงเด่นชัดของตาแห้งกลุ่มนี้คือตาแห้งตลอดทั้งวัน เป็นๆหายๆ เวลาไม่แน่นอน บางครั้งจะลืมตาลำบากขณะตื่นนอนตอนเช้าเพราะมีเมือกเหนียวๆติดรอบขอบเปลือกตา
สัญญาณเตือนตาแห้ง
- ระคายเคืองตา ไม่สบายตา
- แสบตา ตาล้าง่าย
- ตาแดง มีขี้ตาเมือก ๆ ได้
- ตาสู้แสงไม่ได้ น้ำตาอาจไหลมาก เพราะเคืองตา
- ตามัว มองไม่ชัด ชัดบ้างไม่ชัดบ้าง
- รู้สึกเหมือนมีสิ่งแปลกปลอมในดวงตา
- ลืมตายาก รู้สึกฝืด ๆ ในตา
รักษาตามสาเหตุ
การรักษาตาแห้งจักษุแพทย์จะพิจารณาที่สาเหตุเป็นหลักซึ่งบางครั้งอาจมาจากหลายปัจจัยได้แก่
- ถ้าเกิดจากโรคหรือยาหรือปัจจัยที่ส่งผลให้ผลิตน้ำตาน้อย เช่น โรคแพ้ภูมิตัวเอง โรคข้อ ต้องรักษาและคุมโรคต้นเหตุ เมื่อโรคที่เป็นต้นเหตุดีขึ้นหรือหาย ปรับหรือกำจัดปัจจัยที่ทำให้การผลิตน้ำตาลดลงได้ หรือลดการใช้ยาต่าง ๆ ที่ทำให้มีการสร้างน้ำตาน้อยลง อาการตาแห้งจะดีขึ้นตามลำดับ
- ในกรณีที่เกิดจากน้ำตาระเหยเร็วก็ต้องรักษาเปลือกตาให้หายอักเสบ เริ่มด้วยการประคบอุ่น ทำความสะอาดเปลือกตา เพื่อลดการอุดตันของต่อมไขมันเปลือกตา
- ปรับพฤติกรรมในการใช้งาน ปรับสิ่งแวดล้อม หลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ เป่าผมไม่ให้ใกล้ตา หลีกเลี่ยงการใช้พัดลม หรืออยู่ในห้องแอร์นาน ๆ หากจำเป็นต้องทำงานหน้าคอมพิวเตอร์ ควรจัดโต๊ะและเครื่องคอมพิวเตอร์ ตลอดจนการใช้แว่นตาที่เหมาะสม และพักสายตาเป็นระยะ
ยาและวิธีการต่างๆที่ใช้ในการรักษาตาแห้งได้แก่
น้ำตาเทียม แพทย์อาจแนะนำให้ใช้น้ำตาเทียมเพื่อช่วยเพิ่มความชุ่มชื่นให้กับดวงตา ซึ่งมี 2 ประเภทหลักคือ
กลุ่มที่มีสารกันเสีย
ควรใช้ไม่เกินวันละ 4 ครั้ง อาจแบ่งเป็นเช้า กลางวัน เย็น ก่อนนอน เหมาะกับอาการตาแห้งไม่รุนแรง สารกันเสียที่ใช้มีหลายประเภท บางประเภทสลายไปเมื่อโดนตาหรือโดนแสง แพทย์อาจแนะนำให้ใช้บ่อย ๆ กว่า 4 ครั้งต่อวันได้เป็นบางช่วง แต่ถ้าตาแห้งมากต้องใช้บ่อย ๆ ตลอดทุกวัน แพทย์มักแนะนำใช้กลุ่มไม่มีสารกันเสีย
กลุ่มที่ไม่มีสารกันเสีย
มักเป็นหลอดเล็ก ๆ เปิดแล้วมีอายุ 24 ชั่วโมง หรือเป็นขวดที่เป็นลักษณะมีระบบวาล์วพิเศษที่ใช้ได้นาน 6 เดือน กลุ่มนี้ใช้บ่อยได้ตามต้องการ เช่น ทุก 1 – 2 ชั่วโมง เหมาะกับผู้ที่ตาแห้งรุนแรงมาก แต่คนตาแห้งทั่วไปก็ใช้ได้เช่นกัน อย่างไรก็ตามน้ำตาเทียมมีหลายรูปแบบทั้งแบบน้ำใสไม่ทำให้ตามัวนักใช้หยอดกลางวันซึ่งความเข้มข้นมีหลากหลายให้เลือกตามความรุนแรงและแบบเจลที่ใช้ป้ายก่อนนอนหรือกลุ่มขี้ผึ้งที่มีความเหนียวกรณีต้องการคงความชุ่มชื้นนานในตอนกลางคืน
ดูแลป้องกันตาแห้งเบื้องต้น
สิ่งสำคัญที่สุดในการดูแลป้องกันตาแห้งคือ การปรับพฤติกรรมการใช้สายตาให้ถูกต้อง
1.หยุดพักใช้งานหน้าจอคอมพิวเตอร์หรือมือถือทุก ๆ 20 นาที โดยอาจหลับตาสัก 20 วินาที หรือมองไกล ๆ สัก 20 ฟุตจะทำให้สบายตามากขึ้น
2.งดการใช้คอนแทคเลนส์ต่อเนื่อง ควรมีการหยุดพักโดยใส่แว่นสลับ
3.ใช้งานคอมพิวเตอร์หรือมือถือในที่ ๆ มีแสงสว่างเพียงพอ
4.เตือนตัวเองให้กะพริบตาให้บ่อย น้ำตาจะได้เคลือบตาอยู่เป็นระยะ ๆ
5.หากอยู่ในที่ที่มีอากาศแห้ง ร้อน ลมแรง แนะนำให้สวมแว่นเพื่อกันแดดกันลม
6.กินอาหารให้ครบทุกหมู่และอาหารที่มีโอเมกา 3 (Omega 3 Fatty Acid) ซึ่งมีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระ อาจช่วยลดการอักเสบบรรเทาอาการตาแห้งได้