ต้อหินเกิดจากการทำลายขั้วประสาทตา อาจเกิดขึ้นโดยไม่มีสาเหตุปัจจัยภายนอก หรืออาจพบร่วมกับโรคทางตาอื่นๆ ที่แทรกซ้อนมาจากอุบัติเหตุหรือการผ่าตัดรักษาโรคอื่นๆ ในดวงตา หรือแม้แต่เกี่ยวพันกับโรคทางกายอื่นๆ ถือเป็นปัจจัยเสี่ยงในตัวบุคคลนั้นๆ ที่ทำให้เกิดการเสื่อมของขั้วประสาทตา ปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญที่สุดและเป็นปัจจัยอย่างเดียวที่ควบคุมเปลี่ยนแปลงได้ ก็คือ ความดันในลูกตาที่เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งอาจจะเพิ่มสูงขึ้นเองตามธรรมชาติ เนื่องจากความเสื่อมข้างในลูกตา หรือเพิ่มสูงขึ้นเนื่องจากยาที่ใช้ จากอุบัติเหตุ หรือจากการผ่าตัด น้ำหล่อเลี้ยงภายในลูกตาโดยปกติลูกตาจะมีการสร้างน้ำหล่อเลี้ยงภายใน ซึ่งสร้างจากบริเวณด้านหลังของม่านตา แล้วไหลออกมาทางช่องด้านหน้า ก่อนที่จะระบายออกไปทางท่อระบายบริเวณมุมตา ในภาวะปกติปริมาณของน้ำหล่อเลี้ยงที่สร้างขึ้นจะสมดุลกับปริมาณที่ไหลออกจากลูกตา ซึ่งจะไม่ทำให้เกิดการคั่งค้างของน้ำภายในลูกตา ความดันภายในก็ปกติ แต่ถ้าหากมีการอุดตันบริเวณที่ท่อระบาย จะทำให้ความดันตาเพิ่มสูงขึ้นได้
ปัจจัยเสี่ยงต้อหิน
- การใช้ยาหยอดตากลุ่มสเตียรอยด์เป็นเวลานาน
- อุบัติเหตุทางตา เช่น การกระทบกระแทกบริเวณดวงตา
- พันธุกรรมมีประวัติคนในครอบครัวเป็นต้อหิน
- อายุ คนที่มีอายุมากจะมีโอกาสเป็นต้อหินมากกว่าคนที่มีอายุน้อย ต้อหิน บางชนิดเกิดในเด็กแรกเกิด หรือกลุ่มเด็กเล็กได้เช่นกัน แต่พบไม่บ่อยเท่าผู้สูงอายุ ต้อหินชนิดมุมเปิดพบมากในคนที่มีอายุมากกว่า 40 ปี
- สายตาสั้นมากหรือยาวมาก พบว่าคนที่มีสายตาสั้นมากๆ จะมีโอกาสเสี่ยงเป็นโรคต้อหินชนิดมุมเปิดมากกว่าคนปกติ และในคนที่สายตายาวมากๆ โดยมีขนาดของลูกตาเล็กกว่าปกติ ก็จะมีโอกาสเป็นต้อหินชนิดมุมปิด
- โรคเบาหวาน โรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง และความผิดปกติทางเลือดและเส้นเลือด ปัจจุบันมีหลักฐานชี้บ่งว่าความเข้มข้นของเลือดที่ผิดปกติอาจสัมพันธ์กับโรคต้อหิน โรคของเส้นเลือดที่เกี่ยวข้องกับภาวะภูมิคุ้มกันผิดปกติ เช่น โรคลูปัส ก็เป็นปัจจัยเสี่ยงที่จะมีความผิดปกติของเส้นเลือดที่หล่อเลี้ยงขั้วประสาทตา และทำให้เกิดเป็นโรคต้อหินได้
ต้อหินมีกี่ชนด
ชนิดของต้อหินแบ่งออกเป็น
1.ต้อหินปฐมภูมิ (Primary Glaucoma)
- ชนิดมุมเปิด (Primary Open-Angle Glaucoma) แบ่งเป็น ความดันตาปกติและความดันตาสูง
- ชนิดมุมปิด (Primary Angle-Closure Glaucoma) แบ่งเป็น ต้อหินชนิดเฉียบพลันและต้อหินชนิดเรื้อรัง
2.ต้อหินทุติยภูมิ (Secondary Glaucoma) เป็นผลจากสาเหตุอื่นๆ เช่น อุบัติเหตุทางตา เบาหวานขึ้นจอตา
3.ต้อหินแต่กำเนิด (Congenital Glaucoma) พบในเด็กแรกคลอด-3 ปี มาจากพันธุกรรมหรือสาเหตุอื่น
อาการของโรคต้อหิน มีอะไรบ้าง
1. ตาพร่า ตามัว เวียนศีรษะ คลื่นไส้อาเจียน เห็นภาพเบลอซ้อน หรือตามืดบอดชั่วขณะหนึ่ง
2. เห็นจุดแสง ดำ-ขาว เต็มไปหมด หรือเห็นเป็นแสงระยิบระยับเมื่อมองไปกลางแดด
3. ปวดในเบ้าตาลึกๆ และปวดศรีษะข้างเดียวคล้ายไมเกรน หรือปวดจี๊ดขึ้นสมอง
4. ตรวจพบว่า มีสายตาสั้นขึ้นมาทันที และค่าสายตาขึ้นๆลงๆ ไม่แน่นอน
5. ตาจะพร่า เมื่อมองวัตถุบนพื้นที่มีแสงจัด หรือบนพื้นที่มันวาว
6. เห็นดวงไฟมีแสงแดดจัดจ้า เป็นรัศมีกระจาย เห็นเป็นฝ้าหมอก หรือวงสีรุ้ง รอบดวงไฟ
7. เห็นแสงวาบคล้ายฟ้าแลบ หรือเห็นลำแสงวิ่งผ่านตา หรือเห็นเป็นเส้นหยักๆที่หางตา
8. มีความลำบากในการสังเกตพื้นที่ต่างระดับ เวลาก้าวเดิน หรือเวลาขึ้นลงบันได
9. เห็นสีจืดจางลง หรือผิดเพี้ยนไป เห็นตัวหนังสือเลือนราง หรือแตกพร่า
10. การมองในที่มืดแย่ลง เห็นหน้าคนไม่ชัด และไม่กล้าขับรถในเวลากลางคืน
11. เวลามองผ่านกระจกหน้ารถในทิศทางย้อนแสงอาทิตย์ ตาจะพร่าและสู้แสงไม่ค่อยได้
12. ตาสู้แสงไม่ได้ ต้องใส่แว่นดำประจำ
13. เห็นแสงมืดลงไปเรื่อยๆ หรือเห็นเป็นหมอกควันอยู่ทั่วๆไป
14. ลานสายตาแคบเข้ามาเรื่อยๆ จนระยะท้ายเหมือนมองผ่านท่อกลม
ลักษณะการสูญเสียสายตาของต้อหิน
การมองในทางตรงจะยังมองเห็นอยู่โดยที่การมองเห็นนั้นจะค่อยๆ แคบเข้า ที่เรียกว่า ลานสายตาผิดปกติ โดยปกติคนเรามองตรงไปข้างจะมองเห็นด้านข้างก็จะพอมองเห็นถึงแม้จะไม่ชัดเหมือนจุดที่เรามองตรง แต่ในกลุ่มคนที่เป็นต้อหินนั้น การมองเห็นด้านข้างจะค่อยๆ แคบเข้าๆ เกิดขึ้นอย่างช้าๆ ส่วนใหญ่แล้วมักจะไม่ทราบ และจะบอกไม่ได้เพราะจะใช้สองตาช่วยดูกันอยู่เพราะไม่ได้เปิดตาเดินทีละข้าง และทดสอบตัวเองเป็นประจำ และยังทำกิจวัตรประจำวันได้ตามปกติจนกระทั่งการสูญเสียลานสายตานั้นเข้ามาถึงบริเวณตรงกลางแล้ว ทำให้ภาพที่เรามองนั้นไม่ชัดจึงมาพบแพทย์ ซึ่งอาการดังกล่าวเป็นระยะท้ายๆ แล้ว
ในกรณีที่เป็นต้อหิน จะโดยรู้หรือไม่รู้ตัวก็ตาม ความดันภายในลูกตา และปัจจัยเสี่ยงอย่างอื่นที่กล่าวมาข้างต้น จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของปริมาณเลือดที่ไปเลี้ยงขั้วประสาทตา เซลล์ประสาทตาจะเกิดการตายลงทีละน้อยทีละน้อย ความกว้างของการมองเห็นจะค่อยๆลดลงโดยที่คนไข้มักไม่รู้ตัว เนื่องจากบริเวณส่วนกลางหรือจุดกึ่งกลางของการมองเห็นยังเป็นปกติดีอยู่ แต่ที่เริ่มเสียไป คือการมองเห็นบริเวณรอบๆนอก ซึ่งจะค่อยๆ คืบคลาน ลุกลามเข้าสู่ส่วนกลาง จนทำให้ตาบอดในที่สุด ระยะที่ผู้ป่วยรู้ตัวว่าตามัวลง มักหมายถึง โรคต้อหินได้ลุกลามไปมากพอสมควรแล้ว จึงเป็นเรื่องยากสำหรับคนทั่วไปที่จะทราบว่าตนเป็นโรคต้อหินตั้งแต่ระยะแรกๆ ยกเว้นเสียแต่จะได้รับการตรวจตาร่วมกับการวิเคราะห์ขั้วประสาทตาอย่างระมัดระวัง การตรวจวัดลานสายตาซึ่งปัจจุบันนิยมแบบที่มีคอมพิวเตอร์มาใช้ร่วมในการตรวจ
การวินิจฉัยโรคต้อหิน
1.การตรวจโรคต้อหิน จักษุแพทย์จะทำการตรวจเช็คตาโดยละเอียดรวมทั้งการซักประวัติทางร่างกาย ประวัติทางครอบครัว