Prism คืออะไร
Prism เป็นเลนส์ชนิดหนึ่ง มีลักษณะคล้ายหลังคารูปจั่ว ซึ่งมีลักษณะของแท่งแก้วทรง 3 เหลี่ยม โดยมีด้านเรียบ 2 ด้าน ขอบด้านหนึ่งประกบกันเกิดเป็นมุมสามเหลี่ยมขึ้นมาเหมือนหลังคาจั่ว ด้านแหลมกว่าเรียกว่า ยอดปริซึม หรือ apex ส่วนที่ไม่บรรจบกันเรียกว่าฐานปริซึม หรือ base โดยยอดกับฐานอยู่ในทิศตรงกันข้ามอยู่แล้ว เราก็เลยเรียกเฉพาะฐาน (base) ว่าชี้ไปทางองศาไหน เช่น base in ,base out ,base up ,base down หรือ base@axis (0-360 degree)
เลนส์ปริซึมทำงานต่างจากเลนส์สายตาอย่างไร
เลนส์สายตาทำงานโดยบังคับ vergence ของแสงที่ผ่านตัวมันนั้นมีการเปลี่ยนแปลง ถ้าเลนส์บวก(นูน) Vergence จะลู่เข้าหากันเรียกว่า convergence ถ้าเลนส์ลบ(เว้า) vergence จะถ่างออกจากกันเรียกว่า Divergence เลนส์สายตาจึงพูดถึงระยะโฟกัสของเลนส์
ปริซึม ทำงานโดยบังคับให้แสงที่ผ่านตัวมันมีการเปลี่ยนตำแหน่ง (direction) โดย Vergence ไม่เปลี่ยน ส่งผลให้ภาพย้ายที่ได้โดยที่กำลังหักเหไม่เปลี่ยนหรือโฟกัสชัดไม่เปลี่ยน เลนส์ปริซึมจึงพูดถึงตำแหน่งของภาพที่สัมพันธ์กับตำแหน่งของลูกตา
คนที่ใส่ปริซึมจะเห็นภาพเป็นอย่างไร
ปริซึมไปเปลี่ยน direction ของแสงแต่ไม่ได้เปลี่ยน vergence ดังนั้นคนไข้จะไม่รู้สึกเกี่ยวข้องกับความชัดหรือไม่ชัด แต่เขาจะเห็นตำแหน่งภาพย้ายที่เมื่อเทียบกับตาเปล่าที่ไม่ได้มองผ่านปริซึม
“แสง” ถ้าพูดอีกนัยหนึ่งก็คือ “ภาพ” ที่เกิดจากแสงวิ่งไปกระทบวัตถุแล้วสะท้อนออกมาแล้ววิ่งผ่านปริซึมจะเบนเข้าหาฐานของปริซึม ส่วนผู้ที่ใส่ปริซึมอยู่ โดย sense แล้วตาไม่รู้หรอกว่า แสงเบนไปทางไหนเพราะเราไม่สามารถมองเห็นแสงวิ่งได้ (เว้นแต่ลำแสงเลเซอร์) แต่ที่เราเห็นได้ก็คือภาพของวัตถุที่แสงนำเข้ามาในตาเรา เราจะเห็นภาพของวัตถุนั้นมีการย้าตำแหน่งไปทางยอดของปริซึม
ปริซึมมีกำลังเบนแสงเป็นอย่างไร
กำลังในการเบนแสงของปริซึมนั้น มันมองได้ 2 มุม คือถ้ามองที่ต้นทาง(จากตาของเรา) เราก็จะดูว่ามันย้ายจากฐานเดิมไปกี่องศาหรืออีกอย่างก็คือมองไปที่ปลายทางคือวัตถุว่ามันย้ายที่จากตำแหน่งเดิมไปกี่เซนติเมตรหรือกี่เมตร
ถ้ามองเป็นองศา 1 prism diopter = 0.57 องศา หรือ 1องศา = 1.57 prsm diopter
คนมีเลนส์ปริซึมในตาได้อย่างไร
ตาคนไม่ได้มีปริซึม แต่ปริซึมใส่เข้าไปเพื่อแก้ไขปัญหาการมองเห็นให้คน เหมือนกับเลนส์แว่นตาไม่ได้มีในลูกตา แต่ระบบหักเหแสงในลูกตาโฟกัสไม่ปกติ เราจึงใส่เลนส์เข้าไปเพื่อไขปัญหาโฟกัสของตา
ปริซึมช่วยปัญหาการมองเห็นสองตาอย่างไร
คนที่มีตาเหล่ไม่ว่าจะตาเหล่(tropia)หรือเหล่แบบซ่อนเร้น(phoria) หมายความว่า ตำแหน่งพักหรือตำแหน่งสบายของตาข้างใดข้างหนึ่งหรือทั้งสองข้างนั้นไม่ได้อยู่ในตำแหน่งตาตรงหรือตำแหน่ง orthophoria แต่เป็นตำแหน่งอื่นๆ เช่น ถ้าตาชอบพักที่ตำแหน่งหลบในเรียกว่าเหล่เข้า (eso-phoria/tropia) ถ้าตาชอบพักที่ตำแหน่งหลบออกเรียกว่าตาเหล่ออก (exo-phoria/tropia) หรือตาชอบพักในตำแหน่งตาลอยขึ้นหรือตกลงเรียกว่าเหล่ในแนวดิ่ง (Hyper(Hypo)-phoria/tropia มุมที่เหล่ออกไปจากศูนย์หรือตำแหน่ง ortho เราวัดหน่วยเป็นมุมปริซึม หน่วยเป็นอย่างไรนั้นก็เหมือนที่ได้อธิบายกำลังของปริซึมไปแล้ว
ปริซึมไปช่วยคนตาเหล่หนีศูนย์อย่างไร
คนที่มีตาเหล่ เมื่อมองวัตถุที่ระยะต่างๆ ก็ต้องอาศัยแรงของกล้ามเนื้อในการดึงตาให้ตรงด้วยแรงที่เท่ากับแรงหนีศูนย์(มุมเหล่)เพื่อให้ภาพ alignment อยู่ในตำแหน่งตาตรง ถ้าดึงไหวเรียกว่าเหล่ซ่อนเร้น คือไม่สามารถเห็นได้ว่าเหล่ในภาวะการมองพร้อมกันสองตา ถ้าดึงไม่ไหวก็จะเห็นภาพซ้อนเรียกว่า tropia เราก็จะเห็นเลยว่าคนนี้เป็นคนตาเหล่
สรุป
ปริซึมเอาไว้ช่วยให้คนมีปัญหาตาทั้งสองข้างไม่ค่อยสามัคคีกัน โดยปริซึมจะไปทำให้เกิดการรวมใจช่วยกันทำงานเป็นทีมได้ดีขึ้น แต่ใครมีตาสองข้างที่ทำงานร่วมกันได้ดีอยู่แล้ว ปริซึมก็ไม่จำเป็นเพราะจะกลายเป็นตัวยุยงให้แตกความสามัคคีกันเปล่าๆ
อีกเรื่องหนึ่งก็คือ การ induce prism จากการประกอบเลนส์ที่ไม่ได้เซนเตอร์ ซึ่งมีอยู่ 2 เรื่องที่อยากเน้นย้ำคือ ผู้บริโภคอย่าไปซื้อแว่นตาสำเร็จรูปเพราะมันประกอบเสร็จตั้งแต่ยังไม่ได้เซตเซนเตอร์และช่างแว่นตาที่ประกอบแว่น อย่าใช้ PD ,FH แบบกะๆ เอา เพราะผลกระทบที่เกิดตามมานั้นมันมากเกินกว่าที่เราจะรับผิดชอบตาเขาไหวและ PD จากตาข้างหนึ่งถึงกลางจมูกของตาขวาและตาซ้ายมักไม่เท่ากัน ดังนั้นให้ใช้ monocular pd ในการประกอบเลนส์เสมอ ก็จะช่วยลดปัญหาจาก prism effect ได้