การมองเห็นสีบางสีได้ไม่ชัดเจน หรือผิดเพี้ยนไปจากผู้ที่มีสายตาผิดปกติ ส่งผลโดยตรงต่อชีวิตประจำวัน
ตาบอดสี คืออะไร
โรคตาบอดสี (Color Blindness) ภาวะพร่องการมองเห็นสี ผู้ที่มีอาการตาบอดสีจะมีการมองเห็นสีบางสีได้ไม่ชัดเจน หรือผิดเพี้ยนไปจากผู้มีสายตาปกติ โดยส่วนใหญ่มักพบในผู้ชายมากกว่าผู้หญิง โดยพบในผู้ชายประมาณ 8% และพบในผู้หญิงประมาณ 0.4% ของประชากรทั้งหมด ผู้ที่เป็นตาบอดสียังคงมองเห็นภาพได้อย่างชัดเจน แต่จะเห็นสีต่างๆผิดไปจากคนปกติ ซึ่งสีที่คนมักเป็นตาบอดสีคือ สีเขียว สีเหลือง สีส้มและสีแดง ส่วนภาวะตาบอดสีทุกสี (Achromatopsia) จะพบได้น้อย
ตาบอดสี เกิดจากอะไร?
สาเหตุของการเกิดโรคตาบอดสีนั้น เกิดได้หลายสาเหตุ เป็นได้ตั้งแต่กำเนิด หรือ เป็นได้ในภายหลัง ดังนี้
- กรรมพันธุ์ หรือภาวะตาบอดสีตั้งแต่กำเนิด เป็นสาเหตุหลักที่พบได้มากสุด โดยอาการที่พบบ่อยคือตาบอดสีเขียว และสีแดง
- อายุ อายุที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้เกิดการเสื่อมของเซลล์ไปตามวัยที่เพิ่มมากขึ้น
- โรคตาเกี่ยวกับดวงตา เช่น โรคต้อหิน จอประสาทตาเสื่อม และต้อกระจก
- โรคอื่นๆ เช่น โรคอัลไซเมอร์ โรคเบาหวาน โรคพาร์กินสิน
- สาเหตุอื่นๆ ได้แก่ การได้รับบาดเจ็บที่บริเวณดวงตาจากอุบัติเหตุ การได้รับสารเคมีเป็นระยะเวลานาน ผลข้างเคียงจากยาบางชนิด เช่น ยารักษาวัณโรค เป็นต้น
ตาบอดสีมีกี่ประเภท
เซลล์ในจอประสาทตาที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับการมองเห็นมี 2 ชนิดคือ
- Rod Cells เซลล์รูปแท่งทำหน้าที่ เห็นแสงในที่ที่มีแสงน้อย ทำให้การมองเห็นภาพเป็นสีเทา
- Cone Cells เซลล์รูปกรวยทำหน้าที่ มองเห็นในที่สว่างและการเห็นสีต่างๆแบ่งออกได้เป็น 3 ประเภท เซลล์รับแสงช่วงความยาวคลื่นยาวหรือสีแดง (L-type) เซลล์รับแสงช่วงความยาวคลื่นปานกลางหรือสีเขียว (M-type) และเซลล์รับแสงช่วงความยาวคลื่นสั้นหรือสีน้ำเงิน (S-type)
ตาบอดสีสามารถแบ่งตามเซลล์ cone ที่บกพร่องได้ 3 ประเภท
ตาบอดสีแดง-เขียว (Red-green color blindness)
เป็นประเภทตาบอดสีที่พบได้บ่อยที่สุด โดยมักพบตั้งแต่กำเนิดหรือเป็นจากพันธุกรรม ผู้ที่เป็นตาบอดสีประเภทนี้แยกสีแดงกับสีเขียวออกจากกันได้ยาก แบ่งเป็น 4 ชนิดย่อย
- Protanomly มองเห็นสีแดง สีส้ม สีเหลือง เป็นโทนสีเขียว
- Deuteranomaly มองเห็นสีเขียว สีส้ม เป็นโทนสีแดง
- protanopia ไม่สามารถมองเห็นสีแดงได้เลย ทำให้มองเห็นเป็นสีดำ
- Deuteranopia ไม่สามารถมองเห็นสีเขียวได้เลย ทำให้มองเห็นเป็นสีดำ
ตาบอดสีน้ำเงิน-เหลือง (Blue-yellow color blindness)เป็นประเภทที่พบได้น้อย ผู้ที่เป็นตาบอดสีประเภทนี้แยกสีน้ำเงินออกจากสีเขียว หรือแยกสีเหลืองออกจากสีแดงได้ยาก แบ่งเป็น 2 ชนิดย่อย
- Tritanomaly ยากต่อการแยกสีน้ำเงินออกจากสีเขียว และสีแดงออกจากสีม่วง
- Tritanopia ยากต่อการแยกสีที่มีสีน้ำเงินและสีเหลืองเป็นส่วนผสม
ตาบอดทุกสี (Complete color blindness)
หรือเรียกว่า Monochromacy ตาบอดสีที่พบได้น้อยมาก คือตาไม่มีทั้ง Cone cells ทั้ง 3 ชนิด หรือ Cone cells ไม่ทำงาน ทำให้การมองเห็นสีทุกสีเป็นโทนสีเทา นอกจากนี้อาจทำให้มีปัญหาเรื่องการมองไม่ชัด หรือดวงตาไวต่อแสงได้อีกด้วย
ระดับความรุนแรงของตาบอดสี แบ่งได้เป็น 3 ระดับ ดังนี้
- ระดับน้อย สีภาพที่เห็นอาจไม่เหมือนคนทั่วไป แต่สามารถบอกได้ว่าน่าจะเป็นสีอะไร
- ระดับปานกลาง ความสามารถแยกสีได้น้อยลง
- ระดับรุนแรง เห็นทุกอย่างเป็นสีขาวดำ
สามารถทดสอบตาบอดสีได้อย่างไร
ต้องการตรวจว่าเป็นโรคตาบอดสีหรือไม่ ควรเข้ารับการตรวจและปรึกษาจากจักษุแพทย์ ซึ่งวิธีวินิจฉัยโรคตาบอดสีมีอยู่หลายวิธี แตกต่างกันได้แก่ แผ่นทดสอบอิชิฮารา (Ishihara plates) แบบทดสอบเคมบริดจ์ (Cambridge color test) การทดสอบด้วยเครื่อง Anomaloscope เป็นต้น
ตาบอดสีสามารถรักษาได้ไหม
-
ในผู้ที่เป็นตาบอดสีโดยกรรมพันธุ์ ไม่รักษาให้สามารถรักษาให้หายกลับเป็นปกติได้ โดยหากผู้ป่วยทราบว่าตนเองเป็นตาบอดสีแต่กรรมพันธุ์ ควรปรึกษาแพทย์ เพื่อหาแนวทางป้องกันการเกิดภาวะตาบอดสีในเครือญาติ
-
ในกรณีที่ไม่เป็นตาบอดสีแต่กำเนิด ควรปรึกษาจักษุแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยหาสาเหตุการเกิดตาบอดสี เพื่อวางแผนการรักษาที่เหมาะสม
การป้องกันตาบอดสี
ตาบอดสีแต่กำเนิดในปัจจุบันยังไม่สามารถป้องกันได้ เพราะสาเหตุเกิดมาจากพันธุกรรมจากพ่อแม่ ในผู้ที่มีประวัติตาบอดสีในครอบครัวนั้น สามารถเข้ารับการตรวจสายตาเพื่อประเมินอาการหรือตรวจเพื่อประเมินความรุนแรงของโรคได้ ส่วนภาวะตาบอดสีเกิดขึ้นภายหลังอาจป้องกันได้ เช่น การไม่สูดดมสารเคมีบางชนิดมากเกินไป การเข้ารับรักษาโรคต่างๆ อย่างถูกวิธีกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ